ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ–อียู มาแล้ว: แล้วจีนล่ะ จะตามมาหรือไม่? 

2025-07-31 | ข้อตกลงการค้า , ความเคลื่อนไหวของตลาด , จีน , ทรัมป์ , ธนาคารกลางยุโรป , เจาะลึกตลาดรายสัปดาห์

เมื่อทรัมป์และฟอน แดร์ ไลเอิน จับมือกันที่สกอตแลนด์ในวันที่ 27 กรกฎาคม มันไม่ใช่แค่ภาพที่สวยงามต่อหน้ากล้อง แต่มันคือจุดเริ่มต้นของบางสิ่งที่เป็นจริง 

ข้อตกลงการค้าฉบับใหญ่ระหว่างอียูและสหรัฐฯ ถูกปิดดีล ภาษีถูกลดลง และตลาดก็หายใจได้ทั่วท้อง แต่ตอนนี้สปอร์ตไลต์กำลังหันไปที่จีนอย่างรวดเร็ว และทุกสายตากำลังจับจ้องอยู่ 

พวกเขาจะเป็นรายต่อไปที่เข้าร่วมดีลหรือไม่… หรือสงครามการค้ากำลังจะยืดเยื้อต่อไป? 

เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2025 สหรัฐฯ และอียูได้ตกลงกันในข้อตกลงที่จะกำหนด ภาษี 15% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่จากอียูที่เข้าสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอัตราครึ่งหนึ่งจากที่เคยขู่กันไว้ และช่วยป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามต่อไป รายละเอียดสำคัญได้แก่: 

  • กลุ่มสินค้าประเภทอะไหล่เครื่องบิน ยาสามัญ วัตถุดิบสำคัญ และเซมิคอนดักเตอร์ ได้รับ สิทธิ์ภาษีศูนย์ต่อศูนย์ 
  • ภาษีของสหรัฐฯ สำหรับ เหล็กและอะลูมิเนียม ยังคงอยู่ที่ 50% 
  • แลกเปลี่ยนกันกับคำมั่นจากอียูที่จะลงทุนในสหรัฐฯ 600 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ 750 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ทั้ง LNG และเชื้อเพลิงนิวเคลียร์) ภายในช่วงสามปีข้างหน้า 

ตลาดตอบรับอย่างดีที่สงครามการค้าถูกหลีกเลี่ยง ดัชนีฟิวเจอร์สของทั้งสหรัฐฯ และยุโรปปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์บางส่วนเตือนว่าข้อตกลงนี้อาจเทน้ำหนักไปทางฝั่งสหรัฐฯ มากเกินไป 

สำหรับวอลล์สตรีท นี่ไม่ใช่แค่การจับมือธรรมดา แต่มันคือความโล่งใจ ตลาดให้ความสำคัญสูงสุดกับสิ่งหนึ่งคือ ความชัดเจน และนั่นคือสิ่งที่ข้อตกลงการค้าระหว่างอียู–สหรัฐฯ ฉบับนี้มอบให้ 

ดัชนีหุ้นหลายตัวกำลังเข้าใกล้จุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง และบรรยากาศ “รับความเสี่ยง” ก็กลับมาครองถนนอีกครั้ง แต่จุดที่ต้องระวังคือ แม้ภาษีใหม่จะดูเบากว่าการขู่ในอดีต แต่ก็ยังเพิ่มต้นทุนให้ผู้ส่งออกฝั่งยุโรป และอาจส่งผลถึงผู้บริโภคชาวอเมริกันด้วย 

ผู้เล่นระดับโลกในอุตสาหกรรมรถยนต์ ยา และเซมิคอนดักเตอร์ ตอนนี้ต้องเล่นตามกฎใหม่ นักวิเคราะห์จะจับตาการประกาศผลประกอบการอย่างใกล้ชิดเพื่อดูสัญญาณการบีบอัดกำไร การปรับราคาสินค้า และบริษัทจะสามารถผลักภาระต้นทุนนี้ต่อไปยังลูกค้าหรือไม่ 

ข้อตกลงกับอียูครั้งนี้ถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดในกลุ่มดีลการค้าที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นแบบต่อเนื่องรวดเร็วภายใต้การบริหารของทรัมป์ 

ตามที่แผนภูมิด้านล่างแสดง ตั้งแต่ประกาศขึ้นภาษีในเดือนเมษายน 2025 สหรัฐฯ ได้เซ็นหรือวางกรอบข้อตกลงการค้าใหม่กับ สหราชอาณาจักร เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น โดยแต่ละดีลมีการลดอัตราภาษีจากเดิม และเปิดทางให้สินค้าสหรัฐฯ เข้าสู่ตลาดได้มากขึ้น 

สำหรับอียู อัตราภาษี 30% ถูกลดลงเหลือ 15% โดยครอบคลุมถึงการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ด้วย ข้อความชัดเจนมาก: สหรัฐฯ กำลังปรับภูมิทัศน์ทางการค้าใหม่อย่างจริงจัง และจีนอาจเป็นรายถัดไปในคิวนี้ 

อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิก เหตุการณ์ดราม่าแบบเดียวกันก็กำลังเกิดขึ้น แต่ยังไม่มีข้อยุติที่แน่ชัด 

ตั้งแต่ต้นปี 2025 สหรัฐฯ และจีนได้เก็บภาษีนำเข้าสินค้าตอบโต้กันไปมาสูงสุดถึง 145% ครอบคลุมสินค้าตั้งแต่อิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงเกษตรกรรม 
ในเดือนพฤษภาคม ทั้งสองฝ่ายตกลง “หยุดยิงชั่วคราว 90 วัน” โดยภาษีของสหรัฐฯ ลดลงเหลือราว 30% ขณะที่ของจีนอยู่ที่ประมาณ 10% 

ขณะนี้ ตัวแทนเจรจากำลังพบกันที่ สตอกโฮล์ม เริ่มวันที่ 27 กรกฎาคม เพื่อหารือขยายการหยุดยิงอีก 90 วัน หากประสบความสำเร็จ อาจปูทางไปสู่การประชุมสุดยอด Trump–Xi ได้ ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้ชะลอการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี เพื่อไม่ให้กระทบต่อความอ่อนไหวของการเจรจา 

จุดเปลี่ยนของเรื่องนี้ที่ทำให้ตลาดเคลื่อนไหวคือ: ข้อตกลง EU–US สร้างความสงบ แต่ความสงบนั้นยังเปราะบาง 

หากการเจรจากับจีนล่มในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ภาษีอาจกลับมาอยู่ในระดับเกิน 100% อีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และอาจฉุดกำไรในตลาดหุ้นกลับลงมาอย่างรวดเร็ว 

ตลาดยุโรปอาจปรับขึ้นในช่วงแรก แต่บริษัทในอุตสาหกรรมรถยนต์และยาอาจเจอแรงกดดันจากต้นทุนการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น 

สินทรัพย์เสี่ยงที่ผูกกับการเติบโตของผู้บริโภคทั่วโลก เช่น หุ้นเซมิคอนดักเตอร์ อุตสาหกรรม และกลุ่มป้องกันประเทศ อาจได้รับผลกระทบหากข้อตกลงหยุดยิงกับจีนล่ม 

  • ยานยนต์ & การผลิต: ภาษีที่ลดลงช่วยบรรเทาความปั่นป่วนในการส่งออกข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก แต่หากจีนหลุดออกจากสมการ หุ้นในกลุ่มรถยนต์และชิ้นส่วนอาจผันผวนรุนแรง 
  • พลังงาน & สินค้าโภคภัณฑ์: แผนการจัดซื้อพลังงานมูลค่า 750 พันล้านดอลลาร์ของ EU อาจช่วยรักษาเสถียรภาพด้านราคาและการส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ ไปยังยุโรป 
  • อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ & เทคโนโลยี: การจัดซื้ออุปกรณ์ทางทหารและการลงทุนจาก EU ช่วยกระตุ้นภาคธุรกิจที่จำหน่ายเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ไปยังพันธมิตร 

จีนจะได้ข้อตกลงแบบเดียวกับที่ EU ได้หรือไม่? หรือจะจมอยู่ในสงครามการค้ายืดเยื้อ? 

คำตอบตอนนี้ยังไม่ชัดเจนมากนัก 

  • การเจรจาที่สตอกโฮล์มเป็นโอกาสที่จะขยายเวลาการหยุดภาษีไปจนถึง 12 สิงหาคม และอาจต่อเนื่อง หากเจรจาล้มเหลว จะเร่งให้เกิดการเก็บภาษีและความไม่แน่นอนกลับมาอย่างรวดเร็ว 
  • การประชุมสุดยอด Trump–Xi ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงอาจเป็นตัวกำหนดว่าจะปรับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นหรือแช่แข็งต่อไป 
  • สหรัฐฯ ชะลอการควบคุมการส่งออก เพื่อบ่งชี้ว่าวอชิงตันต้องการข้อตกลงที่สำเร็จ แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะไม่เกิดการยกระดับความขัดแย้ง หากการเจรจาหยุดชะงัก 

ข้อตกลงกรอบการค้าระหว่าง EU และสหรัฐฯ ได้ซื้อเวลาไว้ แต่ยังไม่ได้คลี่คลายความขัดแย้งทางการค้าในระยะยาว ตลาดโลกในตอนนี้อาจรู้สึกโล่งใจ แต่ผลลัพธ์ของจีนจะเป็นตัวตัดสินว่า ปี 2025 จะจบลงด้วยความมั่นคงหรือความไม่แน่นอนที่มากยิ่งขึ้น 

สำหรับนักลงทุนและนักเทรด: ความเสี่ยงและโอกาสยังคงเป็นประเด็นหลักในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า อย่าเฝ้าติดตามแค่ข่าวพาดหัว ให้จับตาดูมาร์จิ้น ซัพพลายเชน และการไหลของสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตอบสนองเร็วกว่าโยบายการค้า 

ภาพรวมของการค้าโลกยังไม่ชัดเจน และจีนจะเป็นผู้กำหนดว่าจะก้าวเดินอย่างกล้าหาญหรือระมัดระวัง 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ D Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-09-30 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

3 เหตุผลที่ S&P อาจทะลุระดับ 7,000 ได้ 

ดัชนี S&P 500 ร้อนแรงมาตลอดทั้งปีนี้ ดัชนีขวัญใจวอลล์สตรีททำลายสถิติสูงสุดครั้งแล้วครั้งเล่า และนักวิเคราะห์บางรายเริ่มคาดการณ์ว่าอาจพุ่งแตะ 7,000 ก่อนสิ้นปี ฟังดูเว่อร์ไปหรือเปล่า? อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะเมื่อรวมปัจจัยการลดดอกเบี้ย ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และกระแส AI ที่หยุดไม่อยู่ ปัจจัยทั้งหมดนี้กำลังเรียงตัวเพื่อหนุนตลาดให้ขึ้นไปได้อีก  มาดูกันว่า 3 เหตุผลหลักที่ทำให้ S&P 500 อาจพุ่งขึ้นต่อและอาจทะลุ 7,000 ก่อนสิ้นปีนี้มีอะไรบ้าง  1. การลดดอกเบี้ยของเฟดอาจเป็นแรงหนุนให้ตลาดพุ่ง  แรงขับเคลื่อนแรกและชัดเจนที่สุด: การลดดอกเบี้ย  ธนาคารกลางสหรัฐ ได้เปลี่ยนท่าทีจากการคงดอกเบี้ยสูงไปสู่การผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว ขณะนี้ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกลงทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ เมื่อดอกเบี้ยลดลง นักลงทุนจะถอนเงินจากพันธบัตรและเงินสดไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และไม่มีที่ไหนดูดซับสภาพคล่องได้ดีเท่าตลาดหุ้นสหรัฐ  ประวัติศาสตร์ก็สนับสนุนเรื่องนี้ ทุกครั้งที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ย หุ้นก็มักจะได้แรงหนุนระยะสั้นทันที เหมือนกับการฉีดอะดรีนาลีนเข้าสู่ตลาด ถึงแม้ว่าภาวะถดถอยอาจรออยู่ข้างหน้า แต่ระลอกแรกของสภาพคล่องที่ไหลเข้ามักจะดันให้หุ้นพุ่งขึ้นแรง  สำหรับดัชนี S&P 500 การลดดอกเบี้ยถือเป็น การจัดวางเพื่อการลงทุนแบบ Risk-On หากอัตราผลตอบแทน ยังคงถอยลง แรงดึงดูดก็จะไหลไปยังตลาดหุ้น และนั่นอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักให้ดัชนีเข้าใกล้ระดับ 7,000  2. ผลประกอบการแข็งแกร่งและเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น  เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ยอมถอย การเติบโตชะลอตัวลง แต่ผู้บริโภคยังคงใช้จ่าย อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ และกำไรของบริษัทต่างๆ ยังคงออกมาดีกว่าที่คาดไว้  ตัวเลขกำไร Q2 และ Q3: นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทคาดว่าจะชะลอตัว แต่หลายบริษัทกลับรายงานการเติบโตแบบ สองหลัก โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Apple และ NVIDIA เป็นผู้นำ แต่ความแข็งแกร่งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บิ๊กเทคเท่านั้น ภาคอุตสาหกรรม การเงิน และแม้แต่ผู้บริโภคบางกลุ่มก็ยังสร้างความประหลาดใจด้วยผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่คาด  สิ่งนี้มีความสำคัญเพราะ S&P 500 ไม่ใช่แค่ดัชนีเชิงเก็งกำไร แต่เป็นตะกร้าที่สะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวม เมื่อบริษัทต่างๆ รายงานผลกำไรที่แข็งแกร่ง นักลงทุนก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าหุ้นสามารถรักษาระดับมูลค่าสูงไว้ได้  ความจริงแล้ว Goldman Sachs เพิ่งปรับเป้าหมาย S&P สิ้นปีขึ้นเป็น 6,800 โดยอ้างถึงการผสมผสานระหว่างการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดและผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าที่คาด ซึ่งห่างจากระดับ 7,000 เพียง 200 จุดเท่านั้น  3. การเติบโตของ AI และเทคโนโลยีที่หยุดไม่อยู่  เหตุผลที่สาม และอาจจะทรงพลังที่สุด ก็คือ กระแส AI megatrend  ปัญญาประดิษฐ์กำลังพลิกโฉมทั้งตลาด NVIDIA รายงานรายได้สูงเป็นประวัติการณ์ Palantir ได้รับสัญญาจากรัฐบาลจำนวนมาก และ Microsoft กับ Alphabet ก็กำลังนำ AI เข้ามาใช้ในทุกแพลตฟอร์มของตน นี่ไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว แต่กำลังกลายเป็น การเติบโตของผลประกอบการจริงและกระแสเงินทุนจริง  นักลงทุนทั่วโลกกำลังเทเงินเข้าสู่หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพราะไม่มีที่ไหนที่สามารถสร้างนวัตกรรมได้ในระดับเดียวกัน และเมื่อดัชนี S&P 500 มีหุ้นเทคอยู่ในสัดส่วนสูง ความต้องการ AI นี้จึงดันทั้งดัชนีให้สูงขึ้น การลงทุนในกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับ AI ก็ทำสถิติสูงสุดใหม่ และกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคง เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ คลาวด์ และซอฟต์แวร์  ลองมองแบบนี้: หากหุ้น AI ยังคงวิ่งต่อไป S&P 500 ก็จะถูกดันขึ้นตาม ไม่ว่าตลาดที่เหลือจะเห็นด้วยหรือไม่ นี่คือคลื่นลูกใหญ่ที่ยกทุกอย่างขึ้น และตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าคลื่นลูกนี้จะหยุด  ประเด็นสำคัญสำหรับนักลงทุน  ดัชนี 7,000 การันตีหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ ความเสี่ยงยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อที่อาจกลับมาร้อนแรงขึ้นอีก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือเฟดที่อาจสื่อสารผิดพลาด และอย่าลืมว่าตลาดไม่เคยเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง  แต่ภาพรวมชัดเจนแล้วว่า การผสมผสานกันของ การลดดอกเบี้ยของเฟด, ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และกระแส AI boom กำลังสร้างเงื่อนไขที่หลายคนมองว่าเป็นบวกต่อหุ้น   สำหรับนักลงทุน คำถามหลักก็คือ จะนำพาตัวเองไปอย่างไรในสภาพแวดล้อมนี้ หากดัชนีทดสอบจุดสูงสุดใหม่ได้จริง 

article-thumbnail

2025-09-19 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ตัวเลขจ้างงานอ่อนแรง ดอกเบี้ยกำลังลด: เฟดจะกันไม่ให้ตลาดหุ้นร่วงเดือนกันยายนได้หรือไม่? 

ตลาดกำลังก้าวเข้าสู่เดือนกันยายนท่ามกลางสัญญาณที่ปะปนกันไปทั่ว การเติบโตของการจ้างงานเริ่มชะลอตัว อัตราการว่างงานปรับตัวสูงขึ้น และเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ยังคงกลับด้านอย่างรุนแรง ตามประวัติศาสตร์แล้ว ปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณคลาสสิกที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ช่วงท้ายของวัฏจักร  แต่ประเด็นสำคัญคือ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าการเทขายจะเริ่มขึ้นทันที  ในความเป็นจริง ข้อมูลในอดีตชี้ว่า เราอาจได้เห็นแรงหนุนรอบสุดท้ายของการเก็งกำไร ในตลาดหุ้นและดัชนี ก่อนที่เฟสการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง จะเริ่มขึ้น คำถามคือ เฟดกำลังรอช้าเกินไปหรือไม่?  ข้อมูลการจ้างงานอ่อนแรง: เราเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้วหรือยัง?  ข้อมูลการจ้างงานล่าสุดจาก BLS ระบุว่า มีเพียง 48% ของอุตสาหกรรมที่เพิ่มตำแหน่งงานในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 นี่เป็นสัญญาณที่สำคัญ เพราะตามสถิติแล้ว เมื่อการเติบโตของการจ้างงานต่ำกว่า 50% มักหมายถึงเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือใกล้จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้า  ในขณะเดียวกัน อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 0.9% จากจุดต่ำสุดของรอบวัฏจักร หากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1945 ทุกครั้งที่สิ่งนี้เกิดขึ้น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็ตามมาในเวลาไม่นาน  แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ แต่สิ่งเหล่านี้คือการวางฉาก: ตลาดแรงงานกำลังสูญเสียแรงขับเคลื่อน ผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังมากขึ้น และเฟดกำลังเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากขึ้นกว่าเดิม  ทางสองแพร่งของเฟด: สายเกินไปที่จะลดดอกเบี้ยหรือไม่?  ธนาคารกลางสหรัฐ กำลังเตรียมลดอัตราดอกเบี้ยหลังจากดำเนินนโยบายเข้มงวดที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ แต่ปัญหาคือ ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ย ก็มักจะสายเกินไปที่จะหลีกเลี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ  อมูลจาก Federal […]

article-thumbnail

2025-09-08 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

นธบัตรให้ผลตอบแทนสูงขึ้น: ถึงเวลาที่นักลงทุนหุ้นต้องกังวลหรือยัง?

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรโลกพุ่งขึ้น แม้ธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ย ทำไมนี่จึงสำคัญ และนักเทรดหุ้นควรจับตาอะไรในเดือนกันยายน