ดอกเบี้ยขาลง : ทองคำคือโอกาส?

2025-08-28 | ทองคำ , ธนาคารกลางสหรัฐ , อัตราดอกเบี้ย , เจาะลึกตลาดรายสัปดาห์

ดอกเบี้ยขาลง : ทองคำคือโอกาส?

ธนาคารกลางสหรัฐเพิ่งปรับท่าทีใหม่ การประชุม FOMC เดือนกันยายนอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยน คำกล่าวล่าสุดของพาวเวลล์ไม่ได้เป็นเพียงการส่งสัญญาณเชิงผ่อนคลาย แต่ยังเปิดประตูสู่การปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่าสองปี 

ตามสถิติแล้ว ราคาทองคำมักจะพุ่งขึ้นเมื่อเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 

แต่ครั้งนี้สถานการณ์ต่างออกไป ความเสี่ยงสูงกว่าเดิม เงินเฟ้อเริ่มเย็นตัวลง สภาพคล่องกำลังกลับมา และราคาทองคำก็กำลังเข้าใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 

คำถามที่นักเทรดกำลังจับตา: สถานการณ์นี้จะดันราคาทองคำขึ้นไปแตะ $4,000 ได้หรือไม่? 

การเปลี่ยนท่าทีเชิงผ่อนคลายของพาวเวลล์ 

ตลอดสองปีที่ผ่านมา กลยุทธ์ของพาวเวลล์ชัดเจน: รักษาดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูง กดเงินเฟ้อ และเข้มงวดเงื่อนไขทางการเงิน แต่ตลาดมักมองไปข้างหน้า และครั้งนี้พวกเขาได้รับสัญญาณแล้ว 

ในการแถลงล่าสุด พาวเวลล์ยอมรับถึงการชะลอตัวของการเติบโต และส่งสัญญาณถึงการผ่อนคลายนโยบายล่วงหน้า ปัจจุบันสัญญาซื้อขายล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยของเฟดสะท้อนโอกาส 80% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะอาจพลิกโฉมภาพรวมมหภาคของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหมด 

ดอกเบี้ยที่ต่ำลงหมายถึง: 

  • ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ทำให้ทองคำถูกลงในระดับโลก 
  • อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงลดลง ลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ 
  • สภาพคล่องเพิ่มขึ้น กระตุ้นให้นักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ที่มีมูลค่าคงทน 

นี่คือสภาพแวดล้อมที่มักนำมาซึ่งความผันผวน และตามสถิติแล้ว ทองคำก็มักตอบสนองต่อช่วงเวลาเหล่านี้เสมอ 

ประวัติศาสตร์ของทองคำไม่เคยโกหก 

ดอกเบี้ยขาลง : ทองคำคือโอกาส?
อัตราดอกเบี้ยสหรัฐ vs ราคาทองคำ

ดูจากกราฟได้เลย ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เฟดเข้าสู่รอบการปรับลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่ ล้วนกระตุ้นให้เกิดการพุ่งขึ้นของราคาทองคำอย่างรุนแรง: 

  • 2001-2003: เฟดปรับลดดอกเบี้ยอย่างหนัก และราคาทองคำพุ่งเกือบ เพิ่มขึ้นเท่าตัว 
  • 2008-2011: หลังวิกฤตการเงิน ราคาทองคำพุ่งจาก $700 ขึ้นไปถึง $1,900 
  • 2020 การลดดอกเบี้ยช่วงโควิด: เฟดลดดอกเบี้ยลงใกล้ศูนย์ และทองคำทะลุระดับ $2,000 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 

นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็น การจดจำรูปแบบ เมื่อสภาพคล่องไหลกลับเข้าสู่ตลาด เงินทุนจะมุ่งไปยังสินทรัพย์ที่หายาก และทองคำจะเปล่งประกายที่สุดในช่วงเวลาเหล่านี้ 

การตั้งรับทองคำปี 2025: ทำไมครั้งนี้ถึงต่างออกไป 

ครั้งนี้ราคาทองคำไม่ได้เริ่มจากจุดต่ำสุดอีกแล้ว แต่กำลังซื้อขายอยู่ที่ราว $3,350 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตลอดกาล ที่สำคัญคือการเก็งกำไรยังไม่ได้พุ่งทะยานเกินจริง นักลงทุนยังคงระมัดระวังและรอการยืนยันสัญญาณ 

และนี่แหละคือเชื้อเพลิง หากเฟดลดดอกเบี้ยจริง เงินทุนที่รออยู่ข้างสนามอาจทะลักเข้าสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว เมื่อความต้องการจากธนาคารกลางและกองทุน ETF ที่สะสมทองคำสำรองไว้แล้วถูกเสริมด้วยการเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่นเพียงเล็กน้อย ก็อาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ได้ทันที 

ระดับ $3,500: เส้นแบ่งสำคัญ 

ดอกเบี้ยขาลง : ทองคำคือโอกาส?
กระทิงรอการเบรกเอาต์! $4,000 คือเป้าหมายถัดไปหรือไม่?

สำหรับนักเทรด กราฟชี้ชัดเจนว่า $3,500 คือเพดานราคา ที่ซึ่งผู้ขายเริ่มเข้ามา และผู้ซื้อเริ่มลังเล แต่หากราคาทองคำทะลุและ ยืนเหนือระดับนี้ได้ อัลกอริทึมการซื้อขาย กองทุนเฮดจ์ฟันด์ และสถาบันการเงิน อาจเป็นตัวจุดชนวนให้เงินทุนใหม่ไหลเข้าตลาด 

จากนั้น เป้าหมายทางจิตวิทยาถัดไปคือ $4,000 เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมในอดีตและปัจจัยมหภาคที่สนับสนุน เป้าหมายนี้ ไม่ใช่เพียงจินตนาการ แต่เป็นความเป็นไปได้ที่มีข้อมูลการลดดอกเบี้ยตลอดหลายปีหนุนหลัง 

จิตวิทยาตลาด: ทำไมนักลงทุนทุกคนกำลังจับตาทองคำ 

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของปัจจัยพื้นฐาน แต่คือ มุมมองตลาด ในช่วงที่นโยบายการเงินผ่อนคลาย ทองคำไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง แต่ยังกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีเรื่องราวและความหมายในเชิงการลงทุน 

  • นักลงทุนมองว่าเป็นที่ปลอดภัย 
  • นักเทรดมองว่าเป็นจังหวะการเบรกเอาต์ 
  • สถาบันการเงินมองว่าเป็นการปกป้องพอร์ตการลงทุน 

การผสานกันของทั้งสามปัจจัยนี้ดึงดูดเงินทุนจากทุกทิศทาง และเมื่อทั้งหมดมาบรรจบกัน ก็มักก่อให้เกิดการพุ่งขึ้นแบบขับเคลื่อนด้วยโมเมนตัม ที่สามารถสร้างสถิติใหม่ได้ 

ความเสี่ยงต่อการขึ้นของราคาทองคำ 

แน่นอนว่าเส้นทางไม่ได้ราบเรียบ นักลงทุนยังต้องจับตาสามปัจจัยสำคัญ: 

  1. การประชุม FOMC เดือนกันยายน: หากมีการหยุดพักที่ไม่คาดคิด อาจบดขยี้โมเมนตัมระยะสั้น 
  1. ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (DXY): หากดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างรุนแรง โอกาสการปรับขึ้นของทองคำอาจสะดุด 
  1. อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง: เมื่อผลตอบแทนที่แท้จริงสูงขึ้น ก็มักจะจำกัดการพุ่งขึ้นของทองคำในอดีต 

เส้นทางสู่ระดับ $4,000 ไม่ได้ถูกการันตี แต่จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มันคือเป้าหมายที่ควรจับตาอย่างใกล้ชิด 

สิ่งที่ต้องจับตาต่อไป 

  • ข้อมูลการจัดพอร์ต: กองทุนกำลังเพิ่มการถือครองหรือไม่ 
  • กระแสเงินไหลเข้า ETF: การไหลเข้าที่พุ่งสูงมักบ่งชี้ถึงความมั่นใจในการเบรกเอาต์ 
  • แนวโน้มสภาพคล่อง: สภาพคล่องที่มากขึ้นหมายถึงโอกาสขาขึ้นที่สูงขึ้น ง่ายๆ แค่นั้น 

หากเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย ทองคำจะไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยราคาเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่มาจากเรื่องราว กระแสเงิน และโมเมนตัม ที่ทั้งหมดกำลังมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน 

ประเด็นสำคัญจากการลดดอกเบี้ยและทองคำ 

การปรับลดดอกเบี้ยกำลังจะมา และกลยุทธ์ของทองคำก็ยังเหมือนเดิม ประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าทุกครั้งที่เข้าสู่รอบการลดดอกเบี้ย ราคาทองคำมักพุ่งสูงขึ้น แต่ครั้งนี้การจัดวางครบทั้งสามมิติ: สภาพคล่อง การจัดพอร์ต และสัญญาณทางเทคนิค 

ระดับเบรกเอาต์สำคัญคือ $3,500 หากทองคำทะลุและยืนได้อย่างมั่นใจ ระดับ $4,000 ก็อยู่บนโต๊ะสำหรับรอบนี้ 

สำหรับนักเทรด เรื่องนี้ไม่ใช่การเดาเพียงตามพาดหัวข่าว แต่คือการมองให้ออกว่า เชื้อเพลิงมหภาคของตลาด กำลังจัดเรียงตัว และตอนนี้ทองคำก็มีน้ำมันเต็มถังพร้อมวิ่งแล้ว 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ D Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-09-30 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

3 เหตุผลที่ S&P อาจทะลุระดับ 7,000 ได้ 

ดัชนี S&P 500 ร้อนแรงมาตลอดทั้งปีนี้ ดัชนีขวัญใจวอลล์สตรีททำลายสถิติสูงสุดครั้งแล้วครั้งเล่า และนักวิเคราะห์บางรายเริ่มคาดการณ์ว่าอาจพุ่งแตะ 7,000 ก่อนสิ้นปี ฟังดูเว่อร์ไปหรือเปล่า? อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะเมื่อรวมปัจจัยการลดดอกเบี้ย ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และกระแส AI ที่หยุดไม่อยู่ ปัจจัยทั้งหมดนี้กำลังเรียงตัวเพื่อหนุนตลาดให้ขึ้นไปได้อีก  มาดูกันว่า 3 เหตุผลหลักที่ทำให้ S&P 500 อาจพุ่งขึ้นต่อและอาจทะลุ 7,000 ก่อนสิ้นปีนี้มีอะไรบ้าง  1. การลดดอกเบี้ยของเฟดอาจเป็นแรงหนุนให้ตลาดพุ่ง  แรงขับเคลื่อนแรกและชัดเจนที่สุด: การลดดอกเบี้ย  ธนาคารกลางสหรัฐ ได้เปลี่ยนท่าทีจากการคงดอกเบี้ยสูงไปสู่การผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว ขณะนี้ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกลงทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ เมื่อดอกเบี้ยลดลง นักลงทุนจะถอนเงินจากพันธบัตรและเงินสดไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และไม่มีที่ไหนดูดซับสภาพคล่องได้ดีเท่าตลาดหุ้นสหรัฐ  ประวัติศาสตร์ก็สนับสนุนเรื่องนี้ ทุกครั้งที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ย หุ้นก็มักจะได้แรงหนุนระยะสั้นทันที เหมือนกับการฉีดอะดรีนาลีนเข้าสู่ตลาด ถึงแม้ว่าภาวะถดถอยอาจรออยู่ข้างหน้า แต่ระลอกแรกของสภาพคล่องที่ไหลเข้ามักจะดันให้หุ้นพุ่งขึ้นแรง  สำหรับดัชนี S&P 500 การลดดอกเบี้ยถือเป็น การจัดวางเพื่อการลงทุนแบบ Risk-On หากอัตราผลตอบแทน ยังคงถอยลง แรงดึงดูดก็จะไหลไปยังตลาดหุ้น และนั่นอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักให้ดัชนีเข้าใกล้ระดับ 7,000  2. ผลประกอบการแข็งแกร่งและเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น  เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ยอมถอย การเติบโตชะลอตัวลง แต่ผู้บริโภคยังคงใช้จ่าย อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ และกำไรของบริษัทต่างๆ ยังคงออกมาดีกว่าที่คาดไว้  ตัวเลขกำไร Q2 และ Q3: นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทคาดว่าจะชะลอตัว แต่หลายบริษัทกลับรายงานการเติบโตแบบ สองหลัก โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Apple และ NVIDIA เป็นผู้นำ แต่ความแข็งแกร่งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บิ๊กเทคเท่านั้น ภาคอุตสาหกรรม การเงิน และแม้แต่ผู้บริโภคบางกลุ่มก็ยังสร้างความประหลาดใจด้วยผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่คาด  สิ่งนี้มีความสำคัญเพราะ S&P 500 ไม่ใช่แค่ดัชนีเชิงเก็งกำไร แต่เป็นตะกร้าที่สะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวม เมื่อบริษัทต่างๆ รายงานผลกำไรที่แข็งแกร่ง นักลงทุนก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าหุ้นสามารถรักษาระดับมูลค่าสูงไว้ได้  ความจริงแล้ว Goldman Sachs เพิ่งปรับเป้าหมาย S&P สิ้นปีขึ้นเป็น 6,800 โดยอ้างถึงการผสมผสานระหว่างการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดและผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าที่คาด ซึ่งห่างจากระดับ 7,000 เพียง 200 จุดเท่านั้น  3. การเติบโตของ AI และเทคโนโลยีที่หยุดไม่อยู่  เหตุผลที่สาม และอาจจะทรงพลังที่สุด ก็คือ กระแส AI megatrend  ปัญญาประดิษฐ์กำลังพลิกโฉมทั้งตลาด NVIDIA รายงานรายได้สูงเป็นประวัติการณ์ Palantir ได้รับสัญญาจากรัฐบาลจำนวนมาก และ Microsoft กับ Alphabet ก็กำลังนำ AI เข้ามาใช้ในทุกแพลตฟอร์มของตน นี่ไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว แต่กำลังกลายเป็น การเติบโตของผลประกอบการจริงและกระแสเงินทุนจริง  นักลงทุนทั่วโลกกำลังเทเงินเข้าสู่หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพราะไม่มีที่ไหนที่สามารถสร้างนวัตกรรมได้ในระดับเดียวกัน และเมื่อดัชนี S&P 500 มีหุ้นเทคอยู่ในสัดส่วนสูง ความต้องการ AI นี้จึงดันทั้งดัชนีให้สูงขึ้น การลงทุนในกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับ AI ก็ทำสถิติสูงสุดใหม่ และกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคง เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ คลาวด์ และซอฟต์แวร์  ลองมองแบบนี้: หากหุ้น AI ยังคงวิ่งต่อไป S&P 500 ก็จะถูกดันขึ้นตาม ไม่ว่าตลาดที่เหลือจะเห็นด้วยหรือไม่ นี่คือคลื่นลูกใหญ่ที่ยกทุกอย่างขึ้น และตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าคลื่นลูกนี้จะหยุด  ประเด็นสำคัญสำหรับนักลงทุน  ดัชนี 7,000 การันตีหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ ความเสี่ยงยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อที่อาจกลับมาร้อนแรงขึ้นอีก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือเฟดที่อาจสื่อสารผิดพลาด และอย่าลืมว่าตลาดไม่เคยเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง  แต่ภาพรวมชัดเจนแล้วว่า การผสมผสานกันของ การลดดอกเบี้ยของเฟด, ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และกระแส AI boom กำลังสร้างเงื่อนไขที่หลายคนมองว่าเป็นบวกต่อหุ้น   สำหรับนักลงทุน คำถามหลักก็คือ จะนำพาตัวเองไปอย่างไรในสภาพแวดล้อมนี้ หากดัชนีทดสอบจุดสูงสุดใหม่ได้จริง 

article-thumbnail

2025-09-19 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ตัวเลขจ้างงานอ่อนแรง ดอกเบี้ยกำลังลด: เฟดจะกันไม่ให้ตลาดหุ้นร่วงเดือนกันยายนได้หรือไม่? 

ตลาดกำลังก้าวเข้าสู่เดือนกันยายนท่ามกลางสัญญาณที่ปะปนกันไปทั่ว การเติบโตของการจ้างงานเริ่มชะลอตัว อัตราการว่างงานปรับตัวสูงขึ้น และเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ยังคงกลับด้านอย่างรุนแรง ตามประวัติศาสตร์แล้ว ปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณคลาสสิกที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ช่วงท้ายของวัฏจักร  แต่ประเด็นสำคัญคือ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าการเทขายจะเริ่มขึ้นทันที  ในความเป็นจริง ข้อมูลในอดีตชี้ว่า เราอาจได้เห็นแรงหนุนรอบสุดท้ายของการเก็งกำไร ในตลาดหุ้นและดัชนี ก่อนที่เฟสการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง จะเริ่มขึ้น คำถามคือ เฟดกำลังรอช้าเกินไปหรือไม่?  ข้อมูลการจ้างงานอ่อนแรง: เราเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้วหรือยัง?  ข้อมูลการจ้างงานล่าสุดจาก BLS ระบุว่า มีเพียง 48% ของอุตสาหกรรมที่เพิ่มตำแหน่งงานในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 นี่เป็นสัญญาณที่สำคัญ เพราะตามสถิติแล้ว เมื่อการเติบโตของการจ้างงานต่ำกว่า 50% มักหมายถึงเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือใกล้จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้า  ในขณะเดียวกัน อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 0.9% จากจุดต่ำสุดของรอบวัฏจักร หากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1945 ทุกครั้งที่สิ่งนี้เกิดขึ้น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็ตามมาในเวลาไม่นาน  แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ แต่สิ่งเหล่านี้คือการวางฉาก: ตลาดแรงงานกำลังสูญเสียแรงขับเคลื่อน ผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังมากขึ้น และเฟดกำลังเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากขึ้นกว่าเดิม  ทางสองแพร่งของเฟด: สายเกินไปที่จะลดดอกเบี้ยหรือไม่?  ธนาคารกลางสหรัฐ กำลังเตรียมลดอัตราดอกเบี้ยหลังจากดำเนินนโยบายเข้มงวดที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ แต่ปัญหาคือ ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ย ก็มักจะสายเกินไปที่จะหลีกเลี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ  อมูลจาก Federal […]

article-thumbnail

2025-09-08 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

นธบัตรให้ผลตอบแทนสูงขึ้น: ถึงเวลาที่นักลงทุนหุ้นต้องกังวลหรือยัง?

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรโลกพุ่งขึ้น แม้ธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ย ทำไมนี่จึงสำคัญ และนักเทรดหุ้นควรจับตาอะไรในเดือนกันยายน