ดอกเบี้ยขาลง : ทองคำคือโอกาส?

2025-08-28 | ทองคำ , ธนาคารกลางสหรัฐ , อัตราดอกเบี้ย , เจาะลึกตลาดรายสัปดาห์

ดอกเบี้ยขาลง : ทองคำคือโอกาส?

ธนาคารกลางสหรัฐเพิ่งปรับท่าทีใหม่ การประชุม FOMC เดือนกันยายนอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยน คำกล่าวล่าสุดของพาวเวลล์ไม่ได้เป็นเพียงการส่งสัญญาณเชิงผ่อนคลาย แต่ยังเปิดประตูสู่การปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่าสองปี 

ตามสถิติแล้ว ราคาทองคำมักจะพุ่งขึ้นเมื่อเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 

แต่ครั้งนี้สถานการณ์ต่างออกไป ความเสี่ยงสูงกว่าเดิม เงินเฟ้อเริ่มเย็นตัวลง สภาพคล่องกำลังกลับมา และราคาทองคำก็กำลังเข้าใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 

คำถามที่นักเทรดกำลังจับตา: สถานการณ์นี้จะดันราคาทองคำขึ้นไปแตะ $4,000 ได้หรือไม่? 

การเปลี่ยนท่าทีเชิงผ่อนคลายของพาวเวลล์ 

ตลอดสองปีที่ผ่านมา กลยุทธ์ของพาวเวลล์ชัดเจน: รักษาดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูง กดเงินเฟ้อ และเข้มงวดเงื่อนไขทางการเงิน แต่ตลาดมักมองไปข้างหน้า และครั้งนี้พวกเขาได้รับสัญญาณแล้ว 

ในการแถลงล่าสุด พาวเวลล์ยอมรับถึงการชะลอตัวของการเติบโต และส่งสัญญาณถึงการผ่อนคลายนโยบายล่วงหน้า ปัจจุบันสัญญาซื้อขายล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยของเฟดสะท้อนโอกาส 80% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะอาจพลิกโฉมภาพรวมมหภาคของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหมด 

ดอกเบี้ยที่ต่ำลงหมายถึง: 

  • ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ทำให้ทองคำถูกลงในระดับโลก 
  • อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงลดลง ลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ 
  • สภาพคล่องเพิ่มขึ้น กระตุ้นให้นักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ที่มีมูลค่าคงทน 

นี่คือสภาพแวดล้อมที่มักนำมาซึ่งความผันผวน และตามสถิติแล้ว ทองคำก็มักตอบสนองต่อช่วงเวลาเหล่านี้เสมอ 

ประวัติศาสตร์ของทองคำไม่เคยโกหก 

ดอกเบี้ยขาลง : ทองคำคือโอกาส?
อัตราดอกเบี้ยสหรัฐ vs ราคาทองคำ

ดูจากกราฟได้เลย ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เฟดเข้าสู่รอบการปรับลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่ ล้วนกระตุ้นให้เกิดการพุ่งขึ้นของราคาทองคำอย่างรุนแรง: 

  • 2001-2003: เฟดปรับลดดอกเบี้ยอย่างหนัก และราคาทองคำพุ่งเกือบ เพิ่มขึ้นเท่าตัว 
  • 2008-2011: หลังวิกฤตการเงิน ราคาทองคำพุ่งจาก $700 ขึ้นไปถึง $1,900 
  • 2020 การลดดอกเบี้ยช่วงโควิด: เฟดลดดอกเบี้ยลงใกล้ศูนย์ และทองคำทะลุระดับ $2,000 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 

นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็น การจดจำรูปแบบ เมื่อสภาพคล่องไหลกลับเข้าสู่ตลาด เงินทุนจะมุ่งไปยังสินทรัพย์ที่หายาก และทองคำจะเปล่งประกายที่สุดในช่วงเวลาเหล่านี้ 

การตั้งรับทองคำปี 2025: ทำไมครั้งนี้ถึงต่างออกไป 

ครั้งนี้ราคาทองคำไม่ได้เริ่มจากจุดต่ำสุดอีกแล้ว แต่กำลังซื้อขายอยู่ที่ราว $3,350 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตลอดกาล ที่สำคัญคือการเก็งกำไรยังไม่ได้พุ่งทะยานเกินจริง นักลงทุนยังคงระมัดระวังและรอการยืนยันสัญญาณ 

และนี่แหละคือเชื้อเพลิง หากเฟดลดดอกเบี้ยจริง เงินทุนที่รออยู่ข้างสนามอาจทะลักเข้าสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว เมื่อความต้องการจากธนาคารกลางและกองทุน ETF ที่สะสมทองคำสำรองไว้แล้วถูกเสริมด้วยการเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่นเพียงเล็กน้อย ก็อาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ได้ทันที 

ระดับ $3,500: เส้นแบ่งสำคัญ 

ดอกเบี้ยขาลง : ทองคำคือโอกาส?
กระทิงรอการเบรกเอาต์! $4,000 คือเป้าหมายถัดไปหรือไม่?

สำหรับนักเทรด กราฟชี้ชัดเจนว่า $3,500 คือเพดานราคา ที่ซึ่งผู้ขายเริ่มเข้ามา และผู้ซื้อเริ่มลังเล แต่หากราคาทองคำทะลุและ ยืนเหนือระดับนี้ได้ อัลกอริทึมการซื้อขาย กองทุนเฮดจ์ฟันด์ และสถาบันการเงิน อาจเป็นตัวจุดชนวนให้เงินทุนใหม่ไหลเข้าตลาด 

จากนั้น เป้าหมายทางจิตวิทยาถัดไปคือ $4,000 เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมในอดีตและปัจจัยมหภาคที่สนับสนุน เป้าหมายนี้ ไม่ใช่เพียงจินตนาการ แต่เป็นความเป็นไปได้ที่มีข้อมูลการลดดอกเบี้ยตลอดหลายปีหนุนหลัง 

จิตวิทยาตลาด: ทำไมนักลงทุนทุกคนกำลังจับตาทองคำ 

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของปัจจัยพื้นฐาน แต่คือ มุมมองตลาด ในช่วงที่นโยบายการเงินผ่อนคลาย ทองคำไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง แต่ยังกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีเรื่องราวและความหมายในเชิงการลงทุน 

  • นักลงทุนมองว่าเป็นที่ปลอดภัย 
  • นักเทรดมองว่าเป็นจังหวะการเบรกเอาต์ 
  • สถาบันการเงินมองว่าเป็นการปกป้องพอร์ตการลงทุน 

การผสานกันของทั้งสามปัจจัยนี้ดึงดูดเงินทุนจากทุกทิศทาง และเมื่อทั้งหมดมาบรรจบกัน ก็มักก่อให้เกิดการพุ่งขึ้นแบบขับเคลื่อนด้วยโมเมนตัม ที่สามารถสร้างสถิติใหม่ได้ 

ความเสี่ยงต่อการขึ้นของราคาทองคำ 

แน่นอนว่าเส้นทางไม่ได้ราบเรียบ นักลงทุนยังต้องจับตาสามปัจจัยสำคัญ: 

  1. การประชุม FOMC เดือนกันยายน: หากมีการหยุดพักที่ไม่คาดคิด อาจบดขยี้โมเมนตัมระยะสั้น 
  1. ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (DXY): หากดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างรุนแรง โอกาสการปรับขึ้นของทองคำอาจสะดุด 
  1. อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง: เมื่อผลตอบแทนที่แท้จริงสูงขึ้น ก็มักจะจำกัดการพุ่งขึ้นของทองคำในอดีต 

เส้นทางสู่ระดับ $4,000 ไม่ได้ถูกการันตี แต่จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มันคือเป้าหมายที่ควรจับตาอย่างใกล้ชิด 

สิ่งที่ต้องจับตาต่อไป 

  • ข้อมูลการจัดพอร์ต: กองทุนกำลังเพิ่มการถือครองหรือไม่ 
  • กระแสเงินไหลเข้า ETF: การไหลเข้าที่พุ่งสูงมักบ่งชี้ถึงความมั่นใจในการเบรกเอาต์ 
  • แนวโน้มสภาพคล่อง: สภาพคล่องที่มากขึ้นหมายถึงโอกาสขาขึ้นที่สูงขึ้น ง่ายๆ แค่นั้น 

หากเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย ทองคำจะไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยราคาเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่มาจากเรื่องราว กระแสเงิน และโมเมนตัม ที่ทั้งหมดกำลังมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน 

ประเด็นสำคัญจากการลดดอกเบี้ยและทองคำ 

การปรับลดดอกเบี้ยกำลังจะมา และกลยุทธ์ของทองคำก็ยังเหมือนเดิม ประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าทุกครั้งที่เข้าสู่รอบการลดดอกเบี้ย ราคาทองคำมักพุ่งสูงขึ้น แต่ครั้งนี้การจัดวางครบทั้งสามมิติ: สภาพคล่อง การจัดพอร์ต และสัญญาณทางเทคนิค 

ระดับเบรกเอาต์สำคัญคือ $3,500 หากทองคำทะลุและยืนได้อย่างมั่นใจ ระดับ $4,000 ก็อยู่บนโต๊ะสำหรับรอบนี้ 

สำหรับนักเทรด เรื่องนี้ไม่ใช่การเดาเพียงตามพาดหัวข่าว แต่คือการมองให้ออกว่า เชื้อเพลิงมหภาคของตลาด กำลังจัดเรียงตัว และตอนนี้ทองคำก็มีน้ำมันเต็มถังพร้อมวิ่งแล้ว 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ D Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-12-26 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

คาดการณ์ ปี 2026 ‘ทองคำและเงิน’ เป็นขาขึ้นหรือขาลง?  

ตอนนี้ทองคำและเงินยังคงเดินหน้าทำลายสถิติใหม่ไม่หยุด เรียกว่าพุ่งทะลุ All-Time High กันแทบจะสัปดาห์เว้นสัปดาห์เลยทีเดียว จากตอนแรกที่ดูเหมือนเป็นการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป กลายเป็นว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงการแรลลี่ที่แข็งแกร่งที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายทศวรรษ จนดึงดูดสายตาทั้งนักลงทุนสายถือยาวและเดย์เทรดให้หันมามองกันหมด  คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ ในปี 2026 เทรนด์นี้จะยังไปต่อได้ไหม หรือราคาเริ่มวิ่งนำหน้าปัจจัยพื้นฐานไปไกลเกินแล้ว?   จนถึงตอนนี้ ปัจจัยต่างๆ ยังคงซัพพอร์ตราคาได้ดี ทั้งแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง ความคาดหวังเรื่องดอกเบี้ยที่เปลี่ยนไป ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และความกังวลในค่าเงินฟีแอต ทั้งหมดนี้คือเชื้อเพลิงที่ทำให้ดีมานด์พุ่งสูงขึ้น เมื่อมองไปถึงปี 2026 ตลาดจึงต้องมาเช็คกันว่าแรงส่งเหล่านี้จะยังทำงานอยู่หรือไม่  ทำไมทองคำและเงินถึงทำสถิติสูงสุดใหม่?  การที่โลหะมีค่าพุ่งแรงขนาดนี้ เกิดจากการประสานแรงของปัจจัยมหภาคหลายตัวพร้อมกัน:  พอปัจจัยเหล่านี้มารวมกัน ก็ทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือทองคำและเงิน (ซึ่งไม่มีปันผลหรือดอกเบี้ย) ลดน้อยลง กลายเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและน่าดึงดูดกว่าการเก็บเงินในระบบการเงินปกติ  ในปี 2026 Fed จะลดดอกเบี้ยหนักกว่าเดิมไหม?  คำถามยอดฮิตที่หลายคนเสิร์ชกันคือ “การลดดอกเบี้ยส่งผลยังไงกับทองและเงิน?”  ตอนนี้ตลาดโฟกัสไปที่นโยบายการเงินเฟสถัดไป ถ้าเงินเฟ้อยังคุมได้และตัวเลขจ้างงานชะลอตัวต่อเนื่อง โอกาสที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยเพิ่มก็มีสูง ซึ่งตามสถิติแล้ว ช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาลงมักจะเป็น “สวรรค์” ของทองคำและเงิน โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ที่ตลาดปรับความคาดหวังได้เร็วกว่าตัวนโยบายจริงเสียอีก  ตัวเลข CPI และการจ้างงาน สำคัญแค่ไหน?  สองตัวนี้คือหัวใจหลักของแนวโน้มราคาเลย:  หากเทรนด์นี้ยังอยู่ เราอาจได้เห็นราคาทองและเงินพุ่งรับข่าวล่วงหน้าไปก่อนที่นโยบายจะประกาศใช้จริงเสียอีก  สัญญาณจาก Gold-to-Silver Ratio บอกอะไรเรา?  ดัชนี Gold-to-Silver Ratio คือตัววัดว่าต้องใช้เงินกี่ออนซ์เพื่อซื้อทองคำหนึ่งออนซ์ ตามประวัติศาสตร์แล้ว ค่าเฉลี่ยของดัชนีนี้มักจะต่ำกว่าระดับปัจจุบันมาก ถ้าระดับนี้ยังสูงอยู่ แปลว่าเงิน ยังถูกมากเมื่อเทียบกับทอง ถ้าระดับนี้ต่ำ แปลว่าเงินเริ่มแพงแล้ว   ปัจจุบันดัชนีนี้ยังอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวค่อนข้างมาก ซึ่งสะท้อนว่าที่ผ่านมา “เงิน” วิ่งตาม “ทอง” ไม่ทัน แม้จะไม่ได้ยืนยันว่าราคาต้องพุ่งขึ้นแน่นอน แต่มันชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของมูลค่าที่น่าจับตามอง หากตลาดทองยังพีคอยู่แบบนี้ ส่วนต่างตรงนี้อาจจะแคบลงได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะมหภาคและพฤติกรรมของนักลงทุนด้วย  เป้าหมายราคาปี 2026: จะไปได้ไกลแค่ไหน?  แทนที่จะฟันธงเป๊ะๆ ตลาดมักจะมองเป็นสถานการณ์ต่างๆ มากกว่า แน่นอนว่าไม่ใช่การการันตี แต่มันคือภาพสะท้อนว่าตลาดเคยทำอะไรแบบนี้มาแล้วในช่วงที่วัฏจักรเศรษฐกิจเอื้ออำนวย  ระวังจุดเปลี่ยนช่วงครึ่งหลังของปี 2026  แม้ช่วงต้นปีจะดูสดใส แต่ต้องระวังตัวแปรที่อาจเปลี่ยนเกมได้ เช่น:  ต้องไม่ลืมว่าโลหะมีค่าวิ่งตาม “ความคาดหวัง” ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่ออกมาแล้วเท่านั้น  สรุปแล้ว ปี 2026 น่าซื้อหรือน่าขาย?  ภาพรวมตอนนี้ยังดูเป็นบวก สำหรับทองคำและเงิน โดยเฉพาะในช่วงต้นปี แต่หน้างานก็สามารถเปลี่ยนได้เสมอตามสไตล์ตลาดที่เคลื่อนที่ด้วยปัจจัยมหภาค ปี 2026 จึงน่าจะเป็นปีที่ราคาวิ่งตามสัญญาณนโยบายและข้อมูลเศรษฐกิจแบบติดขอบสนาม ใครที่เป็นสายเทรดต้องติดตามความเชื่อมั่นของตลาดให้ดี 

article-thumbnail

2025-12-18 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ตลาดเกิดอะไรขึ้นในปี 2025? หุ้นเด่น หุ้นร่วง และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 

ถ้าปี 2024 คือการรอจังหวะ ปี 2025 คือการปรับฐานราคาครั้งใหญ่  ตลอดทั้งปี ตลาดมีการสลับสับเปลี่ยนธีมกันไปมาทั้งในแง่ของ :   หุ้นเติบโต (Growth) ชะลอตัวลงพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาแรงอีกครั้ง  สินทรัพย์ปลอดภัยกลับมาเป็นที่ต้องการ  ความผันผวนยังคงสูงลิ่วในทุกสินทรัพย์  ปี 2025 ไม่ได้มีเทรนด์เดียวที่ชัดเจน แต่มีทั้งผู้ชนะที่โดดเด่น หุ้นที่ร่วงแรง และการเปลี่ยนผู้นำตลาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว3 อันดับหุ้นที่ทำกำไรสูงสุดในปี 2025   Top 3 หุ้นเด่น ประจำปี 2025  แม้ว่ากลุ่มผู้นำในตลาดจะหมุนเวียนไปมาตลอดปี แต่มี 3 หุ้นที่ดึงดูดความสนใจได้อย่างต่อเนื่องและทำผลงานได้ดีกว่าตลาดโดยรวม  Micron Technology (MU)  Micron (MU) พุ่งขึ้นราว 200% จากจุดต่ำสุดในปี 2025 ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในปีนั้น  Micron ได้รับแรงหนุนหลักจากความเชื่อมั่นครั้งใหม่ในวงจรเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งราคาหน่วยความจำที่นิ่งขึ้น ความต้องการที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่ทำให้มองเห็นอนาคตได้ชัดเจนขึ้น และความคาดหวังเกี่ยวกับการลงทุนรอบใหม่ (capex) ช่วยเปลี่ยนมุมมองนักลงทุน ผลงานของ MU สะท้อนธีมใหญ่ในปี 2025 คือ ความแข็งแกร่งแบบเลือกสรรในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ไม่ใช่การเหมาซื้อทั้งกลุ่ม  Palantir Technologies (PLTR)  Palantir Technologies (PLTR) ทะยานขึ้นกว่า 200% จากจุดต่ำสุดในปี 2025 คล้ายกับ MU  Palantir ยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีคนพูดถึงมากที่สุดแห่งปี การมุ่งเน้นที่สัญญาภาครัฐ ซอฟต์แวร์องค์กร และการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำให้มันยังอยู่ในความสนใจแม้ในช่วงที่หุ้นเทคโนโลยีโดยรวมมีการปรับฐาน ความแข็งแกร่งของ PLTR ตอกย้ำว่า โมเดลรายได้ประจำและกรณีการใช้งานที่ชัดเจน คือสิ่งที่ตลาดให้รางวัลเมื่อนักลงทุนเลือกสรรมากขึ้น  Advanced Micro Devices (AMD)  AMD ได้เปรียบจากการวางตำแหน่งในตลาดศูนย์ข้อมูล (Data Centers) อีกทั้งยังมี AI และคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง แม้ว่าการแข่งขันในตลาดชิปจะดุเดือด แต่ AMD ก็สามารถรักษาความเกี่ยวข้องในกระแส AI ได้ และหลีกเลี่ยงการแกว่งตัวของความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงที่เห็นในหุ้นเก็งกำไรอื่นๆ3 อันดับหุ้นที่ขาดทุนสูงสุดในปี 2025 […]

article-thumbnail

2025-12-12 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

Santa Claus Rally ส่อแววสะดุด: ทั่วโลกลุ้นการตัดสินใจของเฟด 

สำคัญ: เนื้อหานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับ Santa Claus Rally เท่านั้น และไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์และ CFD มีความเสี่ยงสูงต่อการขาดทุน  เทศกาลแห่งความสุขมาถึงแล้ว พร้อมกับสิ่งที่ชาววอลล์สตรีทรอคอย นั่นคือ Santa Claus Rally (ปรากฏการณ์หุ้นขึ้นส่งท้ายปี)  แต่ปีนี้ ความสุขนั้นอาจต้องเจอทางตัน เพราะมีด่านสำคัญคือ การตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยของเฟด ในวันที่ 11 ธันวาคม ทำให้นักเทรดทั่วโลกตั้งคำถามเดียวกันว่า เฟดจะยอมเปิดทางให้เกิด Santa Claus Rally หรือจะดับฝันนี้ลง?  ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกว่าเฟดจะชี้ชะตาเดือนธันวาคมได้อย่างไร เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการแรลลี่รอบนี้คืออะไร และทำไมมันถึงมีสถิติที่น่าสนใจขนาดนี้  Santa Claus Rally คืออะไร?  Santa Claus Rally หมายถึงช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวเป็นขาขึ้นตามประวัติศาสตร์ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมยาวไปจนถึงสองวันแรกของเดือนมกราคม นี่คือหนึ่งในเทรนด์ตามฤดูกาลที่โด่งดังที่สุดของวอลล์สตรีท โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของบรรยากาศการลงทุน, แรงขายเพื่อลดหย่อนภาษีที่น้อยลง, การมองโลกในแง่ดีช่วงวันหยุด, และปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลง  ทำไมถึงเกิดขึ้น  นักวิเคราะห์ตลาดมักชี้ไปที่ปัจจัยผสมผสานเหล่านี้: แม้สาเหตุที่แท้จริงจะยังเป็นที่ถกเถียง แต่ข้อมูลผลตอบแทนนั้นยากที่จะปฏิเสธ  สถิติย้อนหลัง: ธันวาคมคือหนึ่งในเดือนที่แข็งแกร่งที่สุดของตลาด  1. ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.3% นับตั้งแต่ปี 1927  ทำให้ธันวาคมเป็นเดือนที่แกร่งที่สุดเดือนหนึ่งของปี ชนะกันยายนที่มักจะแย่ที่สุดแบบขาดลอย  2. โอกาสชนะสูงถึง 72.5% เกือบ 3 ใน 4 ของเดือนธันวาคมในอดีต จบลงด้วยการปิดบวก (เขียว)  นี่คืออัตราการชนะที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆ โดยเกือบ 3 ใน 4 ของเดือนธันวาคมปิดตลาดในแดนเขียว  นี่คือเหตุผลที่เทรดเดอร์ชอบพูดว่า: “เมื่อซานต้ามาเยือนวอลล์สตรีท หุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้น”  ทำไม Santa Claus Rally ถึงมีความเสี่ยงในปี 2025?  ปกติแล้ว ปัจจัยฤดูกาลจะช่วยดันตลาดได้สบายๆ ตราบใดที่ไม่มีอะไรใหญ่ๆ มาขวางทาง แต่ปีนี้มี “ก้อนหินก้อนใหญ่” ขวางอยู่  นั่นคือ “ประชุมเฟด 11 ธันวาคม”  ตลาดไม่ได้แค่จับตามอง แต่กำลัง “กลั้นหายใจ” ลุ้นตัวโก่ง  ทำไมเฟดถึงคุมเกมรอบนี้:  1. ลดดอกเบี้ย vs คงดอกเบี้ย : สถาการณ์ตลาดขึ้นอยู่กับสิ่งนี้   ถ้าเฟดส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยต้นปี 2026 สินทรัพย์เสี่ยงจะพุ่งทยานแน่ๆ (คอนเฟิร์ม Rally)   แต่ถ้าเฟดมาสายแข็ง (Hawkish) เตือนเรื่องเงินเฟ้อ การแรลลี่อาจกลายเป็นการเทขายหนีตายแทน  2. นักลงทุนต้องการความชัดเจน  หุ้นที่ขึ้นมาตอนนี้ยังดู “กล้าๆ กลัวๆ” ถ้าเฟดให้สัญญาณ “ไปต่อ” เงินที่รอนอกสนามจะไหลกลับเข้ามาทันที  3. Bond yields คือตัวกำหนด  yields ต่ำ = หุ้นวิ่ง   yields สูง = กดดันหุ้นเทคและสินทรัพย์เสี่ยง   ซึ่งคำพูดเฟดจะสั่งซ้ายหันขวาหันให้ยีลด์ได้ทันที  ตลาดต้องการอะไรจากเฟด เพื่อฉลองให้กับ Rally?  เพื่อให้กราฟพุ่งรับปีใหม่ นักลงทุนขอแค่:  1. โทนที่ผ่อนคลาย  แค่ยืนยันว่า “ขาขึ้นดอกเบี้ยจบแล้ว” ก็พอใจแล้ว  2. คลายกังวลเงินเฟ้อ  ถ้าเฟดมองว่าเงินเฟ้อลงอย่างยั่งยืน ตลาดจะกล้าลุย  […]