หุ้นIconBrandElement

article-thumbnail

2025-09-30 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

3 เหตุผลที่ S&P อาจทะลุระดับ 7,000 ได้ 

ดัชนี S&P 500 ร้อนแรงมาตลอดทั้งปีนี้ ดัชนีขวัญใจวอลล์สตรีททำลายสถิติสูงสุดครั้งแล้วครั้งเล่า และนักวิเคราะห์บางรายเริ่มคาดการณ์ว่าอาจพุ่งแตะ 7,000 ก่อนสิ้นปี ฟังดูเว่อร์ไปหรือเปล่า? อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะเมื่อรวมปัจจัยการลดดอกเบี้ย ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และกระแส AI ที่หยุดไม่อยู่ ปัจจัยทั้งหมดนี้กำลังเรียงตัวเพื่อหนุนตลาดให้ขึ้นไปได้อีก  มาดูกันว่า 3 เหตุผลหลักที่ทำให้ S&P 500 อาจพุ่งขึ้นต่อและอาจทะลุ 7,000 ก่อนสิ้นปีนี้มีอะไรบ้าง  1. การลดดอกเบี้ยของเฟดอาจเป็นแรงหนุนให้ตลาดพุ่ง  แรงขับเคลื่อนแรกและชัดเจนที่สุด: การลดดอกเบี้ย  ธนาคารกลางสหรัฐ ได้เปลี่ยนท่าทีจากการคงดอกเบี้ยสูงไปสู่การผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว ขณะนี้ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกลงทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ เมื่อดอกเบี้ยลดลง นักลงทุนจะถอนเงินจากพันธบัตรและเงินสดไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และไม่มีที่ไหนดูดซับสภาพคล่องได้ดีเท่าตลาดหุ้นสหรัฐ  ประวัติศาสตร์ก็สนับสนุนเรื่องนี้ ทุกครั้งที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ย หุ้นก็มักจะได้แรงหนุนระยะสั้นทันที เหมือนกับการฉีดอะดรีนาลีนเข้าสู่ตลาด ถึงแม้ว่าภาวะถดถอยอาจรออยู่ข้างหน้า แต่ระลอกแรกของสภาพคล่องที่ไหลเข้ามักจะดันให้หุ้นพุ่งขึ้นแรง  สำหรับดัชนี S&P 500 การลดดอกเบี้ยถือเป็น การจัดวางเพื่อการลงทุนแบบ Risk-On หากอัตราผลตอบแทน ยังคงถอยลง แรงดึงดูดก็จะไหลไปยังตลาดหุ้น และนั่นอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักให้ดัชนีเข้าใกล้ระดับ 7,000  2. ผลประกอบการแข็งแกร่งและเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น  เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ยอมถอย การเติบโตชะลอตัวลง แต่ผู้บริโภคยังคงใช้จ่าย อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ และกำไรของบริษัทต่างๆ ยังคงออกมาดีกว่าที่คาดไว้  ตัวเลขกำไร Q2 และ Q3: นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทคาดว่าจะชะลอตัว แต่หลายบริษัทกลับรายงานการเติบโตแบบ สองหลัก โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Apple และ NVIDIA เป็นผู้นำ แต่ความแข็งแกร่งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บิ๊กเทคเท่านั้น ภาคอุตสาหกรรม การเงิน และแม้แต่ผู้บริโภคบางกลุ่มก็ยังสร้างความประหลาดใจด้วยผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่คาด  สิ่งนี้มีความสำคัญเพราะ S&P 500 ไม่ใช่แค่ดัชนีเชิงเก็งกำไร แต่เป็นตะกร้าที่สะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวม เมื่อบริษัทต่างๆ รายงานผลกำไรที่แข็งแกร่ง นักลงทุนก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าหุ้นสามารถรักษาระดับมูลค่าสูงไว้ได้  ความจริงแล้ว Goldman Sachs เพิ่งปรับเป้าหมาย S&P สิ้นปีขึ้นเป็น 6,800 โดยอ้างถึงการผสมผสานระหว่างการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดและผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าที่คาด ซึ่งห่างจากระดับ 7,000 เพียง 200 จุดเท่านั้น  3. การเติบโตของ AI และเทคโนโลยีที่หยุดไม่อยู่  เหตุผลที่สาม และอาจจะทรงพลังที่สุด ก็คือ กระแส AI megatrend  ปัญญาประดิษฐ์กำลังพลิกโฉมทั้งตลาด NVIDIA รายงานรายได้สูงเป็นประวัติการณ์ Palantir ได้รับสัญญาจากรัฐบาลจำนวนมาก และ Microsoft กับ Alphabet ก็กำลังนำ AI เข้ามาใช้ในทุกแพลตฟอร์มของตน นี่ไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว แต่กำลังกลายเป็น การเติบโตของผลประกอบการจริงและกระแสเงินทุนจริง  นักลงทุนทั่วโลกกำลังเทเงินเข้าสู่หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพราะไม่มีที่ไหนที่สามารถสร้างนวัตกรรมได้ในระดับเดียวกัน และเมื่อดัชนี S&P 500 มีหุ้นเทคอยู่ในสัดส่วนสูง ความต้องการ AI นี้จึงดันทั้งดัชนีให้สูงขึ้น การลงทุนในกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับ AI ก็ทำสถิติสูงสุดใหม่ และกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคง เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ คลาวด์ และซอฟต์แวร์  ลองมองแบบนี้: หากหุ้น AI ยังคงวิ่งต่อไป S&P 500 ก็จะถูกดันขึ้นตาม ไม่ว่าตลาดที่เหลือจะเห็นด้วยหรือไม่ นี่คือคลื่นลูกใหญ่ที่ยกทุกอย่างขึ้น และตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าคลื่นลูกนี้จะหยุด  ประเด็นสำคัญสำหรับนักลงทุน  ดัชนี 7,000 การันตีหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ ความเสี่ยงยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อที่อาจกลับมาร้อนแรงขึ้นอีก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือเฟดที่อาจสื่อสารผิดพลาด และอย่าลืมว่าตลาดไม่เคยเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง  แต่ภาพรวมชัดเจนแล้วว่า การผสมผสานกันของ การลดดอกเบี้ยของเฟด, ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และกระแส AI boom กำลังสร้างเงื่อนไขที่หลายคนมองว่าเป็นบวกต่อหุ้น   สำหรับนักลงทุน คำถามหลักก็คือ จะนำพาตัวเองไปอย่างไรในสภาพแวดล้อมนี้ หากดัชนีทดสอบจุดสูงสุดใหม่ได้จริง 

article-thumbnail

2025-09-19 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ตัวเลขจ้างงานอ่อนแรง ดอกเบี้ยกำลังลด: เฟดจะกันไม่ให้ตลาดหุ้นร่วงเดือนกันยายนได้หรือไม่? 

ตลาดกำลังก้าวเข้าสู่เดือนกันยายนท่ามกลางสัญญาณที่ปะปนกันไปทั่ว การเติบโตของการจ้างงานเริ่มชะลอตัว อัตราการว่างงานปรับตัวสูงขึ้น และเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ยังคงกลับด้านอย่างรุนแรง ตามประวัติศาสตร์แล้ว ปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณคลาสสิกที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ช่วงท้ายของวัฏจักร  แต่ประเด็นสำคัญคือ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าการเทขายจะเริ่มขึ้นทันที  ในความเป็นจริง ข้อมูลในอดีตชี้ว่า เราอาจได้เห็นแรงหนุนรอบสุดท้ายของการเก็งกำไร ในตลาดหุ้นและดัชนี ก่อนที่เฟสการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง จะเริ่มขึ้น คำถามคือ เฟดกำลังรอช้าเกินไปหรือไม่?  ข้อมูลการจ้างงานอ่อนแรง: เราเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้วหรือยัง?  ข้อมูลการจ้างงานล่าสุดจาก BLS ระบุว่า มีเพียง 48% ของอุตสาหกรรมที่เพิ่มตำแหน่งงานในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 นี่เป็นสัญญาณที่สำคัญ เพราะตามสถิติแล้ว เมื่อการเติบโตของการจ้างงานต่ำกว่า 50% มักหมายถึงเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือใกล้จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้า  ในขณะเดียวกัน อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 0.9% จากจุดต่ำสุดของรอบวัฏจักร หากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1945 ทุกครั้งที่สิ่งนี้เกิดขึ้น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็ตามมาในเวลาไม่นาน  แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ แต่สิ่งเหล่านี้คือการวางฉาก: ตลาดแรงงานกำลังสูญเสียแรงขับเคลื่อน ผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังมากขึ้น และเฟดกำลังเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากขึ้นกว่าเดิม  ทางสองแพร่งของเฟด: สายเกินไปที่จะลดดอกเบี้ยหรือไม่?  ธนาคารกลางสหรัฐ กำลังเตรียมลดอัตราดอกเบี้ยหลังจากดำเนินนโยบายเข้มงวดที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ แต่ปัญหาคือ ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ย ก็มักจะสายเกินไปที่จะหลีกเลี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ  อมูลจาก Federal […]

article-thumbnail

2025-06-27 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

การเจรจาสันติภาพจะพาดัชนีหุ้นทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งหรือไม่? 

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดทั่วโลกต่างเตรียมรับมือกับสถานการณ์เลวร้าย น้ำมันพุ่งแรง ทองคำทะยาน พาดหัวข่าวเต็มไปด้วยความตึงเครียดว่าอาจเกิดสงคราม แต่ในแบบฉบับของตลาดการเงิน ทุกอย่างกลับพลิกอย่างรวดเร็ว  ตอนนี้ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าทรัมป์กำลังผลักดันข้อตกลงสันติภาพระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล (ซึ่งเราคาดการณ์ไว้ในบทความสัปดาห์ก่อน) บรรยากาศในตลาดเริ่มเปลี่ยน ความกังวลต่อความเสี่ยงสงครามเริ่มคลี่คลาย ราคาน้ำมันเริ่มย่อตัว สินทรัพย์ปลอดภัยเริ่มเย็นลง ขณะที่ตลาดหุ้นเริ่มกลับมาฟื้นตัว  คำถามสำคัญในตอนนี้คือ: การเจรจาสันติภาพครั้งนี้ จะส่งผลให้ตลาดหุ้นพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งหรือไม่?  มาหาคำตอบกัน  จากความกลัวสงครามสู่ความหวังลดดอกเบี้ย  ตลาดไม่ชอบความไม่แน่นอน พาดหัวข่าวสงครามคือความไม่แน่นอนขั้นสุด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้นถึงแกว่งตัวในกรอบแคบตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เมื่อการเจรจาสันติภาพเริ่มมีแรงส่ง เส้นทางใหม่ก็กำลังเปิดขึ้น  ตอนนี้จุดโฟกัสไม่ใช่คำถามว่า “สงครามจะปะทุหรือไม่?” อีกต่อไป แต่มันกำลังเปลี่ยนเป็น “เฟดจะลดดอกเบี้ยเมื่อไหร่?”  นั่นคือกุญแจสำคัญ เพราะยิ่งเฟดลดดอกเบี้ยเร็วเท่าไหร่ ตลาดหุ้นก็ยิ่งมีโอกาสไปได้แรงเท่านั้น  ทำไมข้อตกลงสันติภาพอาจเป็นตัวจุดชนวนที่สมบูรณ์แบบให้หุ้นพุ่ง  ข้อตกลงหยุดยิงที่น่าเชื่อถือสามารถดึงแรงกดดันมหาศาลออกจากระบบได้:  พูดง่ายๆ คือ ข้อตกลงสันติภาพอาจปูทางให้เกิดการรีบาวด์ในตลาดหุ้นวงกว้าง S&P 500 กำลังเข้าใกล้ระดับสูงสุดในรอบล่าสุด ขณะที่ Nasdaq ยังคงแข็งแกร่ง เมื่อความเสี่ยงจากสงครามลดลง บรรดานักลงทุนฝั่งกระทิงอาจเข้าควบคุมเกมได้  ทรัมป์ vs พาวเวลล์: ตัวเร่งตลาดคนถัดไป?  ทรัมป์ไม่เคยปิดบังว่าเขาต้องการดอกเบี้ยต่ำ เขาเคยโจมตีพาวเวลล์ในที่สาธารณะว่าเดินเกมช้าเกินไป  ในอีกด้าน พาวเวลล์กำลังเดินบนเส้นด้าย การสิ้นสุดสงครามทำให้เขาขยับไปสู่การลดดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ภาษีนำเข้าชุดใหม่ของทรัมป์และแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังค้างอยู่ […]

article-thumbnail

2024-02-02 | สารจาก D Prime

ธุรกิจลดน้ำหนักและ AI จะช่วยดันหุ้น Healthcare ในปี 2024 หรือไม่

ปี 2024 แสดงให้เราเห็นว่าเศรษฐกิจโลกมีความคงทนต่อเหตุการณ์ต่างๆ มากขึ้น ซึ่งปูทางไปสู่การพัฒนาในอุตสาหกรรมต่างๆ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนี S&P 500 ทั้ง 11 ภาคส่วนจะมีการเติบโตอย่างมีกำไรในปีนี้ โดยคาดว่าภาค Healthcare หรือธุรกิจบริการสุขภาพ การสื่อสาร และเทคโนโลยีสารสนเทศจะเป็นผู้นำในการขยายผลกำไรในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คาดว่าภาค Healthcare จะมีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเกือบ 18% ในปี 2024  หุ้นภาค Healthcare ประกอบด้วยบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนายา การผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ และการให้บริการด้านการดูแลสุขภาพหรือการจัดการด้านสุขภาพ ภาคส่วนเหล่านี้มีน้ำหนักเป็นสามอันดับแรกในดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านความแข็งแกร่งต่อสภาวะตลาดและเป็นการป้องกันความเสี่ยง จุดแข็งได้แก่ อุปสงค์ที่มั่นคงและยั่งยืน ความผันผวนที่ลดลง และผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย  หุ้นทางการแพทย์ถือเป็นโอกาสระยะยาวที่ไม่อาจปฏิเสธได้ บทความนี้จะทบทวนผลการดำเนินงานล่าสุดของภาคส่วนการดูแลสุขภาพ ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มของหุ้นด้านการดูแลสุขภาพในปี 2024 และวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสีย จุดมุ่งหมายคือการช่วยเหลือนักลงทุนในการคว้าโอกาสในการเติบโตที่หลากหลายและบรรเทาความผันผวนในระยะสั้น  การเริ่มต้นที่แข็งแกร่ง: การปรากฏตัวของ ‘Golden Cross’ ในหุ้นกลุ่ม Healthcare ประจำปี 2024  ด้วยการประเมินมูลค่าที่น่าดึงดูดใจและแนวโน้มการเติบโตที่น่าประทับใจ หุ้นกลุ่ม Healthcare จึงเริ่มต้นอย่างแข็งแกร่งในปี 2024 […]

article-thumbnail

2023-11-09 | สารจาก D Prime

หุ้น ‘Defense Stocks’ พุ่งสูง คว้าโอกาสการลงทุนในช่วงผันผวน

สงครามระหว่างอิสราเอล-ฮามาสที่กำลังดำเนินอยู่ และความกลัวว่าความขัดแย้งจะทวีความรุนแรงขึ้นอีกในตะวันออกกลาง กำลังผลักดันราคาหุ้น ‘Defense Stocks’ หรือหุ้นบริษัทคว้าอาวุธให้สูงขึ้น อิรัก เยเมน ซีเรีย และเลบานอนกำลังผนึกกำลังกับกลุ่มฮามาสเพื่อกดดันอิสราเอลให้ยุติอาชญากรรมสงครามต่อพลเรือนชาวปาเลสไตน์ นักลงทุนควรระมัดระวังเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง และทำความเข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับตลาดโลก  เมื่อเกิดสงคราม บริษัทที่ทำการค้าเกี่ยวกับสงครามมักจะทำเงินได้มาก สิ่งนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นด้านการบินและอวกาศและการป้องกันเพิ่มขึ้นในช่วงเหตุการณ์ความไม่สงบทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความขัดแย้งเกี่ยวข้องกับพันธมิตรของสหรัฐฯ  หลังจากเกิดการโจมตีอิสราเอลเมื่อเร็วๆ นี้ ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสันติภาพและความมั่นคงทั่วโลกได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้หุ้นผู้รับเหมาทางการทหารพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยต่างซื้อหุ้นด้วยความกลัว  ETF ของ iShares U.S. Aerospace & Defense ซึ่งได้รวมหุ้นชื่อดังอย่าง Raytheon, Lockheed Martin, General Dynamics, Northrop Grumman และ Leidos Holdings ทะยานขึ้นมากกว่า 10% ภายหลังการโจมตีครั้งแรกในอิสราเอล  บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อวิเคราะห์การเพิ่มขึ้นของราคาที่รวดเร็วของหุ้นกลาโหม และสำรวจว่านักลงทุนสามารถวางตำแหน่งตัวเองใน ETF กลาโหมและตลาดหุ้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านี้ได้อย่างไร  Top 5 บริษัทค้าอาวุธของสหรัฐฯ Lockheed Martin (หุ้น LMT) Lockheed Martin เป็นผู้รับเหมาด้านกลาโหมรายใหญ่ที่สุด […]

article-thumbnail

2023-10-27 | สารจาก D Prime

บิ๊กเทคและธนาคาร ฤดูผลประกอบการไตรมาสที่ 3

ในตลาดทุนที่ผันผวนในปัจจุบัน จากปัจจัยเงินเฟ้อที่รุนแรงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่สูงเป็นประวัติศาสตร์ และปัญหาทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้นักลงทุนหันไปสนใจ “ฤดูประกาศผลประกอบการ (Earnings Season)” เพื่อดูแนวทางของตลาด  ฤดูกาลผลประกอบการของไตรมาสที่สามกำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ และทุกสายตากำลังจับจ้องไปที่สองภาคส่วนที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลก ได้แก่ บิ๊กเทคหรือบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และอุตสาหกรรมการธนาคาร นักลงทุนและผู้ที่สนใจในตลาดการเงินต่างก็กระตือรือร้นที่จะตรวจสอบรายงานผลประกอบการ เพื่อประเมินความสามารถและวางแผนในการลงทุนในอนาคตต่อไป  เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอย่างมากนี้ ธนาคารบางแห่งอยู่ในขาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของภาคการเงินมีทั้งบวกและลบ โดยหลายแห่งทำผลประกอบการได้อย่างดี อีกทั้งยังเกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้อีกด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความกังวลเรื่องตลาดหุ้นที่เพิ่มมากขึ้น นักลงทุนจึงหันไปหาความหวังที่ทุกคนคุ้นเคย คือหุ้นบิ๊กเทค ตามที่ Bloomberg เน้นย้ำ  เราจะมาเจาะลึกรายงานผลประกอบการที่สำคัญ  รายได้ของบิ๊กเทคพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ตลาดมีแต่ความท้าทาย  กลยุทธ์ลงทุนหุ้น Big Tech ยังคงมีความสมเหตุสมผลอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงผลงานที่โดดเด่นของ Nasdaq-100 ซึ่งพุ่งขึ้นเกือบ 40% แม้ว่าจะเผชิญกับกลับตัวเมื่อเร็วๆ นี้ก็ตาม แต่ก็เป็นลักษณะของการชะลอตัวโดยทั่วไปในเดือนสิงหาคมและกันยายน  โดยพื้นฐานแล้ว ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีสามารถเอาชนะภาวะถดถอยหลังภาวะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ และยังตอกย้ำการครอบงำตลาดในปี 2023 ด้วย  บริษัทเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ของสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่ได้ฝ่าฟันพายุเท่านั้น แต่ยังสร้างผลกำไรที่เทียบเท่ากับบริษัทเมื่อสองปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่การแพร่ระบาดได้กระตุ้นให้บริการดิจิทัลและยอดขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พุ่งสูงขึ้น  ขณะนี้ได้คาดกันว่าบริษัทเหล่านี้จะเข้ามาชดเชยอุตสาหกรรมที่ล้าหลัง เช่น […]

article-thumbnail

2023-09-28 | สารจาก D Prime

สหภาพแรงงานยานยนต์สหรัฐ (UAW) หยุดงานประท้วง ผลกระทบทางเศรษฐกิจ และตลาด Ford, GM และ Stellantis

การนัดหยุดงานของ United Auto Workers (UAW) ต่อผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่กำลังดำเนินการอยู่ บริษัทเช่น General Motors, Ford และ Stellantis ได้ทำให้เกิดข้อถกเถียงทั่วประเทศเกี่ยวกับสิทธิแรงงาน ค่าจ้าง และอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์  การประท้วงหยุดงานครั้งนี้ซึ่งเริ่มเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2023 สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วอุตสาหกรรมยานยนต์ ส่งผลกระทบต่อผู้เล่นรายใหญ่ เช่น Ford, General Motors (GM) และ Stellantis อย่างไรก็ตาม ผลที่ตามมาได้ขยายไปไกลกว่าแค่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ แต่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ตลาดหุ้น และความรู้สึกของนักลงทุน  ในส่วนการวิเคราะห์นี้ เราจะเจาะลึกถึงรายละเอียดที่ซับซ้อนของการประท้วงครั้งนี้และผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจ จากสัญญาจ้างงานสู่ปัญหาที่ซับซ้อนอุตสาหกรรม การนัดหยุดงานของ UAW ไม่ได้เป็นแค่เพียงข้อพิพาทด้านแรงงาน แต่เป็นความท้าทายที่ใหญ่หลวงต่อผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมยานยนต์ การนัดหยุดงานครั้งนี้มีลักษณะเป็นการหยุดงานแบบ “จำกัดและตรงเป้าหมาย” โดยเริ่มต้นหลังจากการสิ้นสุดสัญญาจ้างงาน 4 ปีของพนักงาน ซึ่งมีบริษัท General Motors และ Stellantis Ford พยายามหลีกเลี่ยงการหยุดชะงักในทันทีด้วยการเจรจา  ผลกระทบทางเศรษฐกิจ : เกิดความสูญเสียอย่างกระทันหัน ในส่วนนี้ เราจะเจาะลึกถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากการนัดหยุดงานของ […]

article-thumbnail

2023-08-24 | สารจาก D Prime

นักลงทุน ‘Big Short’ เดิมพัน 1.6 พันล้านดอลลาร์ต่อสภาวะตลาดหุ้นล้ม ถึงเวลาตื่นตระหนกแล้วหรือไม่

Michael Burry MD คือนักลงทุนชื่อดังที่อยู่ในหนังเรื่อง ‘The Big Short’ เป็นผู้ทำนายวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008 เพิ่งเข้า Short ตลาด S&P 500 และ Nasdaq มูลค่าถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ   มุมมองเชิงบวกที่มีต่อ AI เพิ่งถูกลดทอนลงจากความ Hawkish ของธนาคารกลางสหรัฐ สถานะ Short ครั้งใหญ่ของ Burry ครั้งนี้ทำให้เกิดคำถามใหม่เกี่ยวกับความยั่งยืนของแรงซื้อในภาวะกระทิงในปัจจุบัน  ตลาดหุ้นกำลังจะล่มสลายหรือไม่? ถึงเวลาที่จะต้องตื่นตระหนกแล้วหรือยัง? หรือตลาดกำลังประสบกับการปรับฐานชั่วคราว?  ในบทความนี้ เราจะสำรวจปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดแรงเทขายในตลาดหุ้น และเราจะประเมินว่าสถานะ Short ของ Michael Burry เป็นการเทรดที่รอบคอบหรือไม่ นอกจากนี้เราจะเน้นและวิเคราะห์เกี่ยวกับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่นักลงทุนจำเป็นต้องจับตามอง  พอร์ตฟอลิโอการลงทุนของ Michael Burry Michael Burry ในภาพยนตร์ The Big Short แสดงโดย Christian Bale ในปี […]

article-thumbnail

2023-07-13 | สารจาก D Prime

หุ้น Tesla: หุ้นแห่งอนาคต หรือฟองสบู่?

ราคาหุ้นของ Tesla ผันผวนอย่างมากตั้งแต่ต้นปี 2020 โดยทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์และร่วงลงมาราวๆ 70% อย่างไรก็ตาม หุ้นดีดตัวขึ้น 125% และตอนนี้นักลงทุนบางกลุ่มได้เริ่มสงสัยว่าการประเมินมูลค่าจะกลับมาสูงอีกครั้งได้หรือไม่  มีปัจจัยบางอย่างที่ต้องตระหนักถึง การประเมินมูลค่าของหุ้น Tesla นั้นสูงมาก และบริษัทกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่น เช่น Hyundai-Kia, General Motors เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยที่เป็นข้อดีเช่นกัน เนื่องจาก Tesla ยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และมีนวัตกรรมมากมายที่อยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว เหตุผลหลักที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Tesla คือ อีลอน มัสก์ (Elon Musk)   การลงทุนในเทสลาตอนนี้คุ้มค่าหรือไม่ หรือเป็นเพียงฟองสบู่ที่รอวันแตก  เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ เราต้องทราบปัจจัยเหล่านี้ก่อน  มองย้อนกลับไปในปี 2020 และพิจารณาว่าอะไรคือปัจจัยพื้นฐานที่กระตุ้นให้ราคาหุ้นของ Tesla ผันผวนอย่างรุนแรง  หลังจากพิจารณาปัจจัยระดับมหภาคแล้ว เราจะประเมินปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันและหาไดเรคชันที่ดีที่สุดให้นักลงทุน  บริษัทถูกวิจารณ์มานานหลายปีว่ามีค่าใช้จ่ายสูงและไม่มีความสามารถในการเติบโต อย่างไรก็ตาม ในปี 2020 ในที่สุด Tesla ก็ทำกำไรได้เป็นครั้งแรก ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของบริษัทและซีอีโอ Elon Musk  […]

3 เหตุผลที่ S&P อาจทะลุระดับ 7,000 ได้ 

2025-09-30 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก